ค้นหาบล็อกนี้

08 กันยายน 2554

ตามไปดูวิถีชีวิต ชัยพร พรหมพันธุ์ ชาวนาเงินล้าน



         "ใครว่าทำนาแล้วจน...ไม่จริงหรอก ทำนามันดีกว่าทำงานกินเงินเดือนอีก" นี่คือคำพูดยืนยันหนักแน่นจากปากของ ชัยพร พรหมพันธุ์ เกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพทำนา ที่ ชัยพร พรหมพันธุ์ กล้าการันตีแบบนี้ก็เพราะว่าชาวนาอย่าง ชัยพร พรหมพันธุ์ ทำกำไรเหนาะ ๆ หักต้นทุนเรียบร้อยแล้ว เมื่อฤดูกาลผลิตที่แล้ว 2,000,000 บาทเศษ และฤดูที่เพิ่งผ่านพ้นไป 1,000,000 บาทเศษๆ และตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเงินเหลือใช้มากพอ จนสามารถกำหนดเงินเดือนให้ตัวเองและภรรยาในอัตราเดียวกับผู้บริหารเสื้อคอปก ขาวในเมือง มีโบนัสจากผลประกอบการไม่เคยขาด โดยเฉลี่ยก็มีรายได้ตกคนละประมาณ 60,000 – 70,000 บาท ปีก่อนนี้ซื้อทองเส้นเท่าหัวแม่โป้งมาใส่ พร้อม ๆ กับถอยรถกระบะมาขับเล่น ๆ อีกต่างหาก


         ซึ่งนอกจากเงินเดือนและโบนัสสูงแล้ว ชัยพร พรหมพันธุ์ ยังซื้อที่ดินขยายการผลิตออกไป 30 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 20 ปี ด้วยเงินสด ไม่เคยขาดทุนจากการทำนาต่อเนื่องมานับตั้งแต่ปี 2533 ไม่เคยมีหนี้สิน มีหลักประกันสุขภาพชั้นดี จากการส่งประกันชีวิตประกันสุขภาพระดับ A เดือนละร่วมแสน ส่งลูก คน เรียนจบปริญญาโทโดยขนหน้าแข็งไม่ร่วง...วันว่างยังพาลูก ๆ ออกไปหาของกินอร่อย ๆ นอกบ้าน ชาวนาคนนี้เขาทำได้อย่างไร ทำไมชีวิตจึงมีเงินเก็บมากมายขนาดนี้ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปเรียนรู้การใช้ชีวิตจากเขากันค่ะ... 
         นายชัยพร  พรหมพันธุ์ ชาวนาวัย 48 อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 1 ตำบลบางใหญ่ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จบชั้นประถมศึกษาปีที่ จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน อำเภอบางปลาม้า สมรสกับคุณวิมล พรหมพันธุ์ บุตรมี 3คน เป็นชาย คน หญิง คน รักอาชีพการทำนาเป็นชีวิตจิตใจ ความมั่งคั่งมั่นคงทั้งปวง ได้มาจากการทำนาโดยสุจริต ไม่เอาเปรียบดินไม่เอาเปรียบน้ำ คิดซื่อ ขยันขันแข็ง และมีสองมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักเช่นชาวนาทั่ว ๆ ไป โดย ชาวนาโดยส่วนใหญ่คู่กับตำนานยิ่งทำยิ่งจน ทำนาจนเสียนา แต่สำหรับเขา ทำนาบนที่ดินมรดกพ่อ 20 กว่าไร่ กับอีกส่วนหนึ่งเขาเช่าเพิ่มเติม ทำไปทำมาก็ซื้อที่นาเช่ามาเป็นของตัวเอง ปาเข้าไป 100 กว่าไร่ แถมซื้อที่นามาโดยไม่เคยกู้แบงก์ ไม่เคยเป็นลูกค้าขี้ข้าใคร 

         "ผมล้มมาเยอะเหมือนกันสำเนียงเหน่อ ๆ ของลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านแห่ง ตำบลบางใหญ่ ผู้เพียรพยายามหาหนทางตั้งตัว เคยทำแม้แต่นากุ้งและสวนผลไม้คละชนิด แต่สู้น้ำไม่ไหว ต้องกลับมาเป็นชาวนาตามรอยพ่อ  


         "ทำนาเคมีมา 20 กว่าไร่ ครั้งแรกปี 2525 ได้ข้าว 13 เกวียน จำได้แม่นเลย ขายได้เกวียนละ 2,000 บาท ขาดทุนยับ พอดูหนทาง เลยไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คิดว่าจะได้เบิกเงินค่าเรียนลูก เพราะมองอนาคตแล้วว่าไม่มีปัญญาส่งลูกแน่ แต่ปี 2531 เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอาละวาดหนัก แถวบ้านเราโดนกันหมด ก็พอดีอาจารย์เดชา ศิริภัทร ทำเรื่องนาอินทรีย์และใช้สมุนไพร มาขอทำแปลงทดลองปลูกสมุนไพร พ่อก็แบ่งนาให้ 5 ไร่ ด้วยความเกรงใจ อาจารย์ก็เริ่มทดลองใช้สะเดาสู้กับเพลี้ย เครื่องไม้เครื่องมือเยอะ ผมก็ไปช่วยอาจารย์ฉีด ก็ฉีดไปยังงั้น เราไม่ได้ศรัทธาอะไร แต่ปรากฎว่าแปลงนาที่สารเคมีเสียหายหมด ส่วนแปลงนาที่ฉีดสะเดากลับไม่เป็นอะไร  

         ผมก็เริ่มจะเชื่อแล้ว แต่ก็ยังไม่เต็มร้อย เลยเอามาทำในนาของผมเอง ซึ่งปีนั้นชาวนาโดนเพลี้ยกันเยอะมาก หน่วยปราบศัตรูพืชจังหวัด เขาเลยเอายาที่ผสมสารเคมีมาแจก ผมก็ลองเอามาใช้ โดยแบ่งว่าแปลงนานี้ฉีดสารเคมี แปลงนานี้ฉีดสะเดา ซึ่งผลก็ปรากฎออกมาว่า แปลงนาที่ฉีดสะเดาปลอดภัยดี เก็บเกี่ยวข้าวก็ดี แต่แปลงที่ฉีดสารเคมีตายหมด ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเชื่อสนิทใจ แล้วมาลองทำเองดู ผมก็หักกิ่งก้านสะเดามาใส่ครกตำเอง ภรรยาก็บ่นว่าทำไปทำไมเสียเวลา แต่ผมรั้น คือยังไงก็ขอลองหน่อย ก็เอาไปฉีดแล้วข้าวก็ได้เกี่ยว ผลผลิตก็ออกมาดีเกินคาด ทีนี้ชาวบ้านก็แห่มาขอสูตรเอาไปทำบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครประสบผลสำเร็จ เพราะเขาใช้สมุนไพรคู่กับยาเคมี บางคนใช้เคมีจนเอาไม่อยู่แล้วถึงหันมาใช้สะเดา พอมันไม่ได้ผลทันตาเห็น ก็กลับไปใช้สารเคมีกันเหมือนเดิม” เกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพทำนา กล่าว


         การคิดต้นทุนของเขา ลงทุนเต็มที่ตกไร่ละ 2,000 บาท ในขณะที่ขายได้เกวียนละไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท ซึ่งหลังจากเขาทำนาอินทรีย์ได้เพียง 3 ปี มีเงินเหลือมากกว่า ปี ที่มัวจมอยู่กับปุ๋ยยา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ก็ใช่ว่าชัยพรจะหวงวิชาความรู้ เขายังได้ให้คำปรึกษากับผู้ที่มีปัญหา และสนใจในวิถีเกษตรอินทรีย์ ที่โทรมถามาขอคำปรึกษาตามสายแทบจะทุกวัน  
         ใครว่าทำนาแล้วจน...ไม่จริงหรอกชัยพรยืนยันหนักแน่นซ้ำอีก สำคัญตรงที่ต้องทำนาแบบใช้สมอง ไม่ใช่ทำนาแบบเป็นผู้จัดการนาสถานเดียว

         "ถ้าเป็นผู้จัดการนาล่ะจนแน่ มีมือถือเครื่องเดียวโทรสั่งตามกระแส มีนาอย่างเดียวที่เหลือจ้างเขา เริ่มทำไร่นึงก็ต้องมีพันกว่า ตั้งแต่ทำเทือก ทำดิน ไปยันหว่าน เฉพาะได้แค่ต้นนะ ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เกี่ยวไหม จากนั้นต้องฉีดยาคุมหญ้า ใส่ปุ๋ยอีกหลายพัน ของเราต้นทุนไม่กี่สตางค์ อาศัยว่าต้องละเอียดอ่อน ต้องรักษาธรรมชาติ แล้วก็ต้องเป็นลูกจ้างตัวเอง ไม่ใช่ผู้จัดการ พอไปพูดกับเขา เขาก็บอกนาเขาน้อย แล้วก็เช่าเขา ทำอินทรีย์ไม่ได้หรอก ผมก็บอกว่าเมื่อก่อนผมก็เช่า ทำไมยังทำได้ ทำจนมีเงินซื้อนา เขาไม่คิดย้อนกลับไงว่าสมัยปู่ย่าตายายทำนา มันมียาที่ไหนล่ะ คนโบราณยังได้เกี่ยว ของเรายังดี มีสะเดาให้ฉีด สมัยโบราณมีที่ไหนล่ะ ไอ้บางคนเห็นข้าวเราเขียว ก็บอกว่าคงแอบใส่ปุ๋ยกลางคืนละมั้ง แหม๋! กลางวันยังไม่มีเวลาเลย จะมาใส่ปุ๋ยกลางคืน มาฉีดให้งูมันเอาตายเรอะชัยพร กล่าว 

         ทุกครั้งที่ขายข้าวได้ เขาจะนึกถึงบุคคลที่นำเอาวิธีเกษตรอินทรีย์มาให้เขาได้รู้จัก และปรับใช้ในที่นาของเขา จนมีเงินเหลือเก็บ ... "ถ้าผมไม่ได้เจออาจารย์เดชาก็คงไม่ได้เกิดหรอก คงไม่ได้ส่งลูกเรียนปริญญาโทไป คน อีกคนก็ว่าจะเรียนปีหน้า ลูกมาทีเอาเงินค่าเทอมทีละ 40,000 – 50,000 บาท ก็ยังเฉยๆ เรามีให้"


         ขณะที่ อาจารย์เดชา ศริรภัทร แห่งมูลนิธิขวัญข้าว ผู้เพียรพยายามเผยแพร่วิถีการทำนาอินทรีย์ยืนยันว่า ไม่ได้ช่วยอะไรชัยพรมากกว่านั้น ความสำเร็จทั้งปวงเกิดจากตัวชัยพรเอง แต่สำหรับชาวนา ป.ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงที่ทำให้เขาก้าวมาได้ถึงวันนี้ 

         ลูก คน ของชาวนา ป.คนโตกำลังเรียนปริญญาโท สาขาปรับปรุงพันธุ์พืช ที่มหาวิทยาลัยเกษตร กำแพงแสน คนกลางเรียนปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ส่วนลูกสาวคนเล็กเพิ่งจบปริญญาตรี เกียรตินิยม จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ตอนนี้ทำงานธนาคาร ทุก ๆ เย็นวันศุกร์ที่ลูก ๆ กลับบ้าน ครอบครัวชาวนาเล็ก ๆ ก็จะคึกคักมีชีวิตชีวา ขับรถออกไปหาของอร่อยกินกัน ในขณะที่ชาวนาต้นทุนสูงนาติดกันไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสเช่นครอบครัวของชัยพร


         ลมทุ่งพัดอู้มา เมฆตั้งเค้ามาทางขอบฟ้าตะวันตก นารกฟางของเขาแผ่ขยายออกไปลิบตา ชัยพรยืนพิงรถลากมองดูอย่างพอใจ ลูก ๆ โตกันหมด ได้เรียนกันสูง ๆ เปลื้องภาระไปอีกเปลาะ สองคนสามีภรรยาตกลงกันว่า นาปีนี้จะเอาโบนัสใหญ่คนละเส้น แล้วแบ่งรายได้แข่งกัน ลูกสาวคนโตบอกว่า เรียนจบโทเมื่อไหร่จะกลับมาช่วยพ่อทำนา จะได้เพลาแรงพ่อ แต่พ่อกลับบอกว่า ยังทำนาสนุกอยู่ 
         "ลูกเขาไม่อายหรอกที่พ่อเป็นชาวนา พอเราออกทีวี อาจารย์เขาเห็น เพื่อนเขาเห็น ยังมาถามเลยว่า ไม่เห็นบอกเลยว่ามีพ่อเป็นถึงเกษตรกรดีเด่นของประเทศ บางทีต่อไปถ้าคนเปลี่ยนมาทำนาอินทรีย์กันทั้งประเทศ นาดีมีกำไรกันหมด การบอกใครต่อใครว่าเป็นลูกชาวนา อาจเป็นความภูมิใจ เหมือนกับยุคหนึ่งที่คนได้ปลื้มไปกับการเป็นลูกพระยาก็ได้ชัยพร กล่าวหน้าบาน พร้อมเล่าต่อว่า ตอนนี้เรายังทำสนุก ก็อยากขยายที่ทำให้กว้างออกไป ทำไปเถอะ ทำไปเรื่อย ๆ ทำเพลิน ๆ ไม่ขาดทุนหรอก ทำนาน่ะ มีแต่กำไร บอกกับตัวเองว่าถ้าฤดูนี้ได้ร้อยกว่าเกวียนจะขอโบนัสทอง 10 บาท บอกอย่างนี้ก็เลยต้องขยันฉีดฮอร์โมน ทำดิน ทำจิปาถะ แล้วก็ได้


         และนี่คือวิถีชีวิตของ ชัยพร พรหมพันธุ์ ชาวนาร้อยล้าน ที่สามารถลบคำกล่าวที่ว่า "ทำนามีแต่จนได้สำเร็จ… โดยทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เขาสามารถมีวันนี้ได้ก็เพราะการทำนาแบบเกษตร อินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี นอกจากจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นอีกด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือ การเป็นคนขยัน ลงมือปฏิบัติเอง แถมไม่กู้หนี้ให้เป็นภาระอีกต่างหาก

04 กันยายน 2554

ดูผลน้ำหมักและการทำปุ๋ยหมักที่ Horse Shoe Point

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมงาน BeztDM ได้ไปทดลองการหมักน้ำชีวภาพ และทำปุ๋ยหมักที่ Horse Shoe Point พัทยา วันเสาร์ที่ 3 กันยา เราไปตรวจสอบผล ซึ่งผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง

ร้านค้าภายใน 

ด้านหลังเป็นบ่อดักไขมันที่เราไปทดสอบ
ผลออกมาไขมันลดลงและน้ำดีขึ้น 

กองใบไม้ที่ทดลองหมักด้วย BeztDM
เพียงสัปดาห์เดียวก็ย่อยเหมือนกับหมักมาแล้ว 3 เดือน 

ห้องส้วมแบบพิเศษของที่นั่น 

เราทดลองนำกากไขมันที่เหลือมาผสมกับ BeztDM
และลองหมักกับใบไม้แห้ง (ดูผลสัปดาห์หน้า) 

สีของน้ำหมักผลมะกอก มีสีสวยเหมือนชาเย็น และกลิ่นหอม 

น้ำหมักผลไม้รวมก็ไม่น้อยหน้า สีสวยเหมือนกัน
พร้อมกับกลิ่นที่หอมเช่นกัน 

ทีมงาน BeztDM ตักน้ำหมักผลมะกอกมาเก็บไว้เป็นตัวอย่าง 

เจ้าหน้าที่ของ Horse Shoe Point ทึ่งสีของน้ำหมักผลมะกอก
ที่กลิ่นหอม และสีสวย เพราะไม่ใช้กากน้ำตาล 

ทดสอบกัน 1 สัปดาห์ มี 3 แบบคือ
ผลมะกอก สับปะรด และผลไม้รวม
มีกลิ่นหอมต่างกัน 

ที่นั่นมีม้าให้ขี่เล่นด้วย 

ผลมะกอกร่วง เก็บเอามาหมักได้

ต้นมะกอกต้นนี้อยู่ริมสนามฟุตบอล 

ผลมะกอกที่ยังไม่ร่วง

16 สิงหาคม 2554

เชิญแวะเยี่ยมบูธ GSS ที่หาดใหญ่

ในช่วงวันที่ 12-21 สค.นี้ มีงานเกษตรที่หาดใหญ๋ จ.สงขลา ใครที่อยู่ที่หาดใหญ่หรือบริเวณใกล้เคียงที่สในในผลิตภัณฑ์ BeztDM ก็สามารถแวะเยี่ยมชมหาเลือกซื้อได้ที่บูธ GSS ซึ่งจัดอยู่ในงานเกษตรของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ครับ

ซุ้มพืชผัก

แปลงผักคอนโดของอ.คำนึง อยู่ใกล้ๆ

 บรรยากาศในบูธของ GSS ตัวแทนจำหน่ายของเราที่ภาคใต้

น้ำหมักชีวภาพที่เกิดจากการหมักที่สงขลา
บรรจุอยู่ในขวดเพื่อแจกจ่าย

ผู้สนใจเยี่ยมชมบูธ

15 สิงหาคม 2554

กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลคลองโยง ร่วมกับ บริษัท บีซีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด

จัดงาน  การอบรมเชิงปฏิบัติการ  การจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือน 
และการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำแม่น้ำ คู คลอง  ภายใต้โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ถ่ายภาพร่วมกัน

ทำปุ๋ยง่ายๆ ด้วย Bezt  DM

กิจกรรม  "น้ำใสใจจริง"
          เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2554  กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม  เทศบาลตำบลคลองโยง จ.นครปฐม  ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงไว้วางใจให้ บริษัท บีซีไอ เอ็นเตอร์ไพรส์  จำกัด ที่ใส่ใจในด้านสิ่งแวดล้อม  จัดงานในหัวข้อ  การอบรมเชิงปฏิบัติการ  การจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนและการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำแม่น้ำ คู คลอง ภายใต้โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ ศาลาทรงไทย  วัดมะเกลือ ตำบลคลองโยง  จ.นครปฐม   โดยได้รับเกียรติจาก  นายสมเกียรติ  จันทร์แสง (นายกเทศมนตรีตำบลคลองโยง) เป็นประธานในการเปิดงาน  มีชาวบ้าน นักเรียนและผู้นำในชุมชน  ประมาณ 80 คน  เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ ในครั้งนี้
          วัตถุประสงค์ของงานเพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการลดโลกร้อน การแยกขยะ การส่งเสริมอาชีพ หารายได้และการลดต้นทุนในครัวเรือน  แก่ผู้ที่เข้าร่วมการอบรม ลักษณะของงานจะมีกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีส่วนร่วมในการอบรมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม การจัดตั้งธนาคารขยะ/ การกำจัดขยะมูลฝอยในครัวเรือน/ การลดภาวะโลกร้อน  และการใช้จุลินทรีย์  Bezt DM  ทำน้ำหมักและสามารถนำน้ำหมักมาทำเป็นส่วนผสมน้ำยาอเนกประสงค์ได้ด้วย รวมถึงการทำปุ๋ยหมักจากจุลินทรีย์  Bezt DM ซึ่งสามารถนำไปขยายผลในชุมชน ผู้ที่เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้จะได้รับความรู้  ประโยชน์ในการนำไปใช้ดำเนินชีวิต และลดโลกร้อน  รวมถึงการสร้างรายได้เสริมของครอบครัวและชุมชนได้อีกทางหนึ่ง  ที่จะได้จัดตั้งคณะทำงานของเทศบาลตำบลคลองโยง  สร้างชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐต่อไป            

03 สิงหาคม 2554

อบรม Biodynamic การทำปุ๋ยหมัก Composting

ในวันที่ 31 กค. เป็นวันที่สองของการอบรม ในวันนั้นฝนตกตลอด ครูฮันส์จึงให้ผู้เข้าอบรมร่วมกันทำปุ๋ยหมักด้วยวิถีแห่ง Biodynamic ตั้งแต่เช้า

องค์ประกอบง่ายๆ ก็คือ มูลวัว ฟางข้าว หญ้าสด และปูนขาว แต่ที่ต้องทำมาก่อนก็คือ BD สูตรต่างๆ (ซึ่งถือว่้าเป็นขบวนการที่ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนจึงจะนำมาใช้ได้)

พื้นที่ที่เลือกไว้สำหรับกองปุ๋ยหมัก
ต้องเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง 

ฟางข้าว และหญ้าสดนำมาเตรียมไว้ให้พร้อม 

ถุงปุ๋ยที่เห็นคือมูลวัวที่ซื้อมาใช้ในการทำปุ๋ยหมัก 

ใส่ฟางตามแนวที่กำหนดไว้ประมาณ 2x1 เมตร 

ทำให้เป็นชั้นสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร 

นี่คือชั้นปุ๋ยหมักที่ประกอบด้วยฟางข้าว หญ้าสด มูลวัว และปูนขาว 
(ห้ามไม่ให้มูลวัวและปูนขาวอยู่ติดกัน เพราะจะทำให้เกิดก๊าซแอมโมเนียได้)

อ.อภิรักษ์แห่ง BeztDM Farming เข้าร่วมอบรมด้วย 

ผู้เข้าอบรมร่วมกันทำปุ๋ยหมักจนสำเร็จขั้นตอนแรก

30 กรกฎาคม 2554

อบรม Biodynamic ที่ขอนแก่น

นับเป็นการเรียนรู้ครั้งแรกของเมืองไทยกับเรื่อง การสัมมนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ การเกษตรแบบชีวพลวัตร (Biodynamic Acgriculture)

ถนนเข้าสู่ศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์

ที่นี่มีพื้นที่ 16 ไร่

ผู้เข้าอบรมมาจากหลากหลายอาชีพและจังหวัด

ฮันส์ มุนเดอร์ เป็นนักการศึกษาและนักมนุษยปรัชญา

เรียนเรื่องจังหวะการโคจรของดวงตะวันและดวงจันทร์
 
ตารางการเรียนทั้ง 3 วัน

 อธิบายที่มาของ Biodynamic

เขาวัวตัวเมียดีที่สุด

 ใช้ได้ทั้งเขาวัวและเขาควาย

 เขาวัวตัวเมียดีกว่า ดูวงรอบเป็นจุดสังเกตความแตกต่าง
 
 BD500 คือมูลวัวที่นำไปใส่ในเขาวัว
แล้วนำเอาไปฝังนาน 6 เดือนจึงนำออกมาเพื่อใช้ประโยชน์

เตรียมถังเพื่อนำ BD500 มากวนกับน้ำ

ใ้ช้ BD500 เพียงเล็กน้อยผสมกับน้ำ กวนนาน 1 ชั่วโมง

ครูฮันส์สาธิตการกวนด้วยมือเปล่า
ไม่เป็นอัตรายต่อผิวหนัง เพราะเป็นธรรมชาติมากๆ

ตัวอย่างมูลวัวที่แปรสภาพกลายเป็นเหมือนปุ๋ยธรรมชาติ แต่ไม่ใ่ชปุ๋ย

นิ่มเหมือนดินเหนียวหรือชีส

อาคารเรียนริมท้องนา

คุยกันที่อาคารเรียนริมนา