อ.อภิรักษ์ มีญาติอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด อ.พนมไพร บ้านหนองทัพไทย ได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามกับชาวนาที่ทำการเกษตร และไล่เรียงลำดับการทำนา และการลงทุนในแต่ละขั้นตอน
จึงทราบว่าการทำนาปี ใช้เวลาถึง 7 เดือน ไม่ใช่ 120 วันตามทฤษฎีที่หน่วยงานบางแห่งได้ทำเอาไว้ จริงอยู่ที่ว่าข้าวนั้นใช้เวลาแค่ 4 เดือนก็ออกดอกออกผล แต่การเตรียมหน้าดินก็ต้องกระทำก่อนเช่นกัน จึงต้องรวมเอาไว้ในขั้นตอนการผลิตด้วย
เมื่อสรุปผลการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เรื่อยไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนที่ต้องมาเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งผลออกมาได้กำไรจากการทำนาเพียง 14,040 บาท จากนา 13 ไร่ เฉลี่ย 7 เดือนได้เงินแค่ 2,120 บาท/เดือน
อ.อภิรักษ์ จึงหาหนทางที่จะลดต้นทุนเกี่ยวกับปุ๋ยเคมี และใช้วิถีเกษตรอินทรีย์ธรรมชาติ แบบไม่ใช่เคมี 100% โดยจะเริ่มในฤดูกาลเพาะัปลูกในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
แปลงน่าที่เก็บเกี่ยวแล้ว 4 ไร่
จะกลายเป็นแปลงทดสอบการทำนาแบบ BeztDM FARMING
แห่งแรกในประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
ค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง คือการจ้างเพื่อนบ้านมาเก็บเกี่ยว
ค่าใช้จ่ายมาจากการต้องเลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์
แม้จะจ่ายแพงกว่าการจ้างรถเกี่ยว แต่ผลผลิตสูญเสียน้อยกว่า
ลานข้าวข้างแปลงนา เป็นที่เลี้ยงอาหาร
บางทีต้องเลี้ยงถึง 3 มื้อ
สรุปการทำนา และค่าใช้จ่ายในแต่ละช่วงเดือน
ส่วนใหญ่นาที่ใช้เคมี จะมีค่าใช้จ่ายสูง
และค่าปราบแมลงศัตรูพืชด้วยเคมี
13 ไำร่ ต้องลงทุึนถึง 40,160 บาท
ขายข้าวไำด้ 55,000 (โดยประมาณ)
ดังนั้นจึงมีผลกำไรเพียง 14,040 บาทเท่านั้น
การปลูกข้าวเองก็ดีกว่าต้องซื้อ
แต่อย่างน้อยก็มีข้าวกินเองทุกมื้อ
แต่ถ้าใช้วิถีเกษตรอินทรีย์ธรรมชาติ 100%
แมลงศัตรูพืชจะหายไปเอง
แต่เมื่อใช้ปุ๋ยเคมี ก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลง
เปรียบดังว่า ปุ๋ยเคมีเนี่ยแหละที่เรียกแมลงมา
แล้วก็ทำยามาฆ่า เรียกว่าขายได้ 2 ต่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น